Date ( 16/03/2008 )
 GERMAN TOUR
 Date ( 03/04/2008 )
 GERMAN TOUR 2
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
TITLE : German tour
16/03/2008
เสลอทัวร์เยอรมัน   หนุ่มๆวงเสลอ
 
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสที่จะได้ทำสิ่งที่ผมฝันมาตลอดทั้งชีวิต ซึ่งก็คือการทัวร์คอนเสิร์ตในดินแดนที่เป็นอาณาเขตต้นกำเกิดของแนวดนตรีที่ผมและสมาชิกวง Slur ชื่นชอบ นั่นก็คือ ประเทศเยอรมันทวีปยุโรป
    
      ก่อนอื่นต้อนขออนุญาตท้าวความถึงที่มาของการทัวร์ครั้งนี้ก่อน จุดเริ่มต้นของมันอยู่ที่ นาย Matthias นามสกุลไม่สามารถออกเสียงเป็นภาษาไทยได้ หนึ่งในเจ้าของค่าย Noisedeluxe ค่ายเพลงอินดี้เล็กๆ ในเมือง Halle ประเทศเยอรมัน มาเที่ยวเมืองไทย และเนื่องจากเป็นคนหลงใหลในเสียงเพลง เขาได้ไปเข้าชม งาน Fat Festival ครั้งที่ 6 เทศกาลดนตรีนอกและในกระแสที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยความบังเอิญ เขาได้เข้าเป็นผู้ชมในเวทีที่วง Slur ขึ้นเล่นในเย็นวันอาทิตย์พอดี เนื่องจาก Slur เพิ่งจะออกอัลบั้ม Boo! ทำให้คนมาดูเยอะเต็มความจุ อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้พี่ Matthias ประทับใจในตัววง ขอประทานอภัยเพราะเริ่มรู้สึกว่าเรื่องของที่มาเริ่มจะยาวเกินไปแล้วเดี๋ยวหน้ากระดาษจะหมดแล้วผมจะไม่ได้เล่าเรื่องทัวร์ ดังนั้นผมจึงขอรวบมันให้สั้นๆโดยพลการเลยละกันว่า ต่อจากนั้น Noisedeluxe ก็ติดต่อกับ Smallroom ค่ายเพลงห้องเล็กของ Slur หลังจากจัดการอะไรวุ่นวายหลายอย่าง วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2008 วงดนตรีอินดี้ร็อคเล็กๆจากเมืองไทยก็ได้มีซีดีไปขาย และไปเล่นคอนเสิร์ตที่ประเทศเยอรมัน

     ตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง หลังจาก 12 ชั่วโมงบนเครื่องบิน และ 6 ชั่วโมงอันยาวนานระหว่างรอ Transfer ที่สนามบินการ์ตาร์ ก้าวแรกที่ออกจากสนามบิน ผมรู้สึกดีมากกับอากาศแสนอบอุ่นสบาย ของนครเบอร์ลิน ผิด!!! มันหนาวมาก!!! หนาวซะจนควันออกจากปากตลอดเวลา เหมือนคนสูบบุหรี่จัด ผมกับพี่เอมมือกลอง วุ่นวายอยู่กับการโทรหา ตา Matthias และ Stefan คู่หูของเขา แต่โทรเท่าไหร่ก็ไม่ติด เพราะเราไม่รู้วิธีการโทรจากโทรศัพท์สาธารณะเยอรมัน หลังจากทดลองอากาศหนาวอยู่ เกือบชั่วโมงลิ้มรสแซนวิชเย็นชืดไปสามชิ้น ปรากฎว่าสองคนนั้น กะเวลามารับเราผิดและบวกกับรถติดจึงถือเป็นการสร้าง First Impression ที่ดีมากๆอย่างหนึ่ง ?

     วันนั้นเราไปกินอาหารมื้อแรกกันที่ย่านวัยรุ่นในเบอร์ลินที่พวกเราทึกทักเอาเองว่ามัน เป็นเหมือนสยามสแควร์ของกรุงเทพ เพราะถนนประกอบไปด้วยร้านเสื้อผ้า อาหาร เก๋ๆเต็มไปหมด ซึ่งตอนเช้าที่เราถึงย่านนั้น(จำชื่อไม่ได้เพราะอ่านไม่ออก) มันเป็นเวลาเพียง 10 โมงกว่าๆ ปรากฎว่า ไม่มีร้านอาหารเปิดเลย สองมัคคุเทศน์จึงได้ให้ความรู้กับเราว่า ร้านที่นี่เค้าเปิดทำการกันตอน 11 โมง แล้วปิดกันตอนหนึ่งทุ่ม เราก็ได้แต่นึกในใจว่ายุโรปเป็นทวีปที่ขี้เกียจเอามากๆเลยเนอะ แล้วทำไมบ้านเมืองเค้าถึงเจริญกันจัง(วะ)

ดังนั้นเราจึงเดินไปเดินมาในย่านนั้นดูหน้าต่างร้านต่างๆ ไปเรื่อยๆเพราะเข้าไม่ได้ สองหนุ่มก้อดูจะหลงๆ พาไปถูกบ้างผิดบ้าง คุยกันเองเหมือนตกลงว่าจะกินร้านไหนดี พอเริ่มหลงบ่อยขึ้น ก็หาจังหวะหนึ่ง ก็หันมาบอกผมยิ้มๆว่า “It’s a capital city ? ” “เออดี” ผมคิด

     เวลา 11 โมงมาถึง เราได้เดินเข้าไปในร้านอาหารแห่งแรกที่ดูดีและก็เปิดเรียบร้อยแล้ว อยากบอกว่าร้านอาหารดูหรูหรามาก มารู้ทีหลังว่าที่เยอรมันเค้าไม่มีร้านอาหารข้างทางถูกๆ แบบเมืองไทย เวลาเค้ากินอาหารกันเค้าก็จะเข้าร้านอาหารที่ดูจริงจังกันอย่างนี้ พอนั่งเรียบร้อยกัน ตรงโต๊ะอาหารก็ถึงเวลาระทึกใจ เมนูอันใหญ่กางเบ้อเริ่มอยู่ตรงหน้าทุกคนพร้อมกับอาการ ใบ้รับประทาน เพราะมันมีแต่ภาษาเยอรมัน คนไทยในคณะเราสั่งถูกก็แย่แล้ว พวกผมก็เลย ใช้วิธีรบกวนสองหนุ่มแสนดีให้แปลเมนูให้ฟัง หลังจากอ่านจบ ผมเลือกไส้กรอก ด้วยความที่ได้ยินคำว่าไส้กรอกเยอรมันตามซุปเปอร์มาร์เก็ตประเทศบ้านเกิดมาเกือบตลอดชีวิต ส่วนคนอื่นผมเป็นผู้เลือกให้มั่วๆ เพราะคนที่ฟังพูดภาษาอังกฤษแบบพอใช้ได้มีแค่ผมกับมือกลอง นักร้องนำ-เย่ ก็พอพูดได้ฟังออก ดีกว่า บู้ มือเบสไซส์พกพาซักนิดนึง แต่คนที่แย่ที่สุดคือแบงค์-มือทรัมเปต พูดไม่ได้ ฟังไม่ออก นั่งเอ๋ออย่างเดียว เป็นผลกรรมจากที่ตอนเด็กๆ ใช้ชีวิตอิสระนอกห้องเรียนบ่อยเกินไป ประมาณครึ่งชั่วโมงเศษๆผ่านไป อาหารได้มา landing บนโต๊ะพร้อมกัน นับเป็นเวลาการรอคอยที่ถ้าเป็นเมืองไทยคงโมโหหิวกันไปแล้ว แต่หลังจากผ่านมื้ออาหารหลายๆมื้อต่อมา ก็ได้รู้ว่า คนเยอรมันตอนกินข้าวเค้าถือเป็นการพักผ่อน ต้องใช้เวลาให้เต็มที่ ระหว่างรอก็ทานกาแฟทานเบียร์กันไป ถ้าวัดจากสภาพอาหารที่เสริ์ฟบนโต๊ะ ผมถือเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกเพราะไส้กรอกที่ให้มานั้นใหญ่รสชาติดีมากๆ ส่วนตำแหน่ง ผู้อัปโชคที่สุดของโต๊ะตกเป็นของ บู้ เพราะจานของบู้ประกอบด้วยชีสอะไรก็ไม่รู้ ผัก และผลไม้ชิ้นใหญ่เท่าบ้านหลายๆชิ้น เพื่อนๆทุกคนจึงร่วมตัวร่วมใจกันเสียสละเนื้อบางส่วน ของจานตัวเองให้กับน้องเล็กของเรา

     หลังจากกินข้าวเสร็จเดินเที่ยวเมืองเบอร์ลินและช็อปปิ้งกันเล็กน้อย พวกเราก็กลับ ขึ้นรถตู้คันใหญ่มุ่งหน้าไปเมือง Halle ฐานทัพของค่าย Noisedeluxe เพื่อจะไปเล่นโชว์แรกที่นั่น ระยะเวลาสองชั่วโมงผ่านไปไวเหมือนโกหก เหตุเพราะถนนหนทางที่น่าตื่นตาระหว่างทางบน Autobahn, มอเตอร์เวย์ของที่นั่น บวกกับสภาพผีดิบของพวกเรา ทำให้หลังจากดูวิวอยู่ประมาณ 10 นาทีเศษ ผมก็หลับไปแทบจะตลอดทาง พอถึงที่หมายเราเอาของไปเก็บที่ที่พัก ซึ่งเป็น อพาร์ทเม้นของสองหนุ่มเจ้าของค่าย ผม เย่ และแบงค์ ไปนอนที่อพาร์ทเม้นของ Stefan อีกสามคนที่เหลือ บู้, พี่เอม และพี่ดิว ตากล้องวีดีโอ ไปอยูกับ Matthias พอวางของเสร็จเรียบร้อย เราเดินทางไปเพื่อเตรียมการ Sound Check ที่ Club Drutchbar ซึ่งเจ้าของค่ายทั้งสองเป็นเถ้าแก่อยู่ เข้าไปในคลับครั้งแรก บอกได้เลยว่า ตกใจเพราะเป็นสถานที่ที่ เซอร์ และมีเสน่ห์ มากที่สุดที่หนึ่งที่เคยเล่นมาในชีวิต มันยากที่จะบอกชัดได้ว่าเป็นยังไง กำแพงของคลับทาสีชมพู แบบไม่ตั้งใจ เห็นรอยแตกแยกของสีเต็มไปหมด แล้วนอกจากโถงสี่เหลี่ยมที่เอาไว้ใช้แสดงไลฟ์โชว์ ยังมีห้องแยกไปตามทางเดินเล็กๆ อย่างที่บอกว่าเสน่ห์ของคลับนี้ล้นเหลือ ผมแทบอยากจะกระโดดขึ้นเวทีแล้วบรรเลงแทบจะในทันที และแล้วการซาวน์เช็คในสภาพ อากาศที่หนาวสุดๆก็เริ่มขึ้น

                                                  เรื่องนี้มันยาว พื้นที่หมดจนได้ เอาไว้เรามาต่อกันในอาทิตย์หน้านะครับ

                                                                                                              รักนะจุ๊บจุ๊บ
                                                                                                                 เป้ เสลอ